ในสถานการร์โควิด เจ้าของร้านอาหารต่างหนักอกหนักใจกันไม่น้อย ไม่ต้องเจอกับสถานการณ์การควบคุมการระบาด ซึ่งหลาย ๆ ร้าน ก็พยายามหาทางรอด ปรับตัวให้เข้ากับยุคโควิด 19 ซึ่งบริการสั่งอาหารเดลิเวอรี่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการใช้บริการอยู่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์โควิด และวิถีชีวิตแบบ New normal ที่ต้องลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงความแออัดจากการไปจับจ่ายซื้ออาหารมารับประทาน ทำให้หลาย ๆ คนเลือกที่จะอยู่บ้านและกดสั่งอาหารมาทาน ดังนั้นจึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ตัวช่วยดีดี สำหรับร้านอาหาร คงหนีไม่พ้น แอปเดลิเวอรี่สั่งอาหาร ทำให้หลายต่อหลายคนเลือกใช้บริการกันมากขึ้น เรามาทำความรู้จักว่าแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่สั่งอาหารของแต่ละเจ้ามีความฟังชั่นใดๆบ้างที่ตอบโจทย์ ทั้งลูกค้าสั่งอาหาร พาทเนอร์ร้านค้า และไรเดอร์ส่งอาหาร
1. gogek ถ้าพูดถึงแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารสีเหลือง ที่ชื่อว่า Get หลายคนคงร้องอ๋อกัน แต่ถ้าพูดแอปสั่งอาหารน้องใหม่ที่ชื่อว่า gojek จะมีสั่งกี่คนที่รู้ว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของแอป Get นั่นเอง ซึ่งคำว่า gojek นั้นไม่เก่าอะไรกับอาเจ็ก อาม่า ในภาษาจีนแต่อย่างใด แต่เป็นการรวมคำ ระหว่าง Go + Ojek ซึ่งแปลว่ามอเตอร์ไซต์รับจ้างในภาษาบาฮาซา แน่นอนว่าแอปนี้เป็นแอปสัญชาติอินโดนีเซียที่ไม่ธรรมดาถึงระดับยูนิคอนที่มีทำรายได้เป็นหมื่นล้านดอลล่าสหรัฐเลยทีเดียว ความพิเศษของแอปนี้ด้วยเทคโนโลยีระดับ super app ที่พร้อมตอบโจทย์ปัญหาโลกแตกที่มื้อนี้กินไรดี ร้านไหนดี ในแต่ละวัน ที่มีร้านค้าพาทเนอร์มากกว่า 400,000 ร้านค้า และพาทเนอร์คนขับมากกว่า 2,000,000 คน ซึ่ง gojek พร้อมแล้วที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น โดยมีพื้นที่ให้บริการทั้ง 18 เขตในกรุงเทพ และครอบคลุม 5 จังหวัดในเขตปริมณฑล คือจ.นนทบุรี (บางกรวย, ปากเกร็ด, เมือง นนทบุรี, บางใหญ่, บางบัวทอง)
📍 จ.ปทุมธานี (ลำลูกกา, ธัญบุรี (รังสิต), เมือง ปธุมธานี, คลองหลวง)
📍 จ.สมุทรปราการ (เมือง สมุทรปราการ, บางพลี, พระประแดง, พระสมุทรเจดีย์, บางเสาธง)
📍 จ.สมุทรสาคร (กระทุ่มแบน และเมือง สมุทรสาคร)
📍 จ.นครปฐม (สามพราน และ พุทธมณฑล)
สำหรับพ่อค้าที่อยากสมัครก็สามารถเข้าไปกรอกรายละเอียดตามลิงค์นี้ได้เลยจ้าhttps://thmerchant.gojek.com/eligible
2. Robinhood ชื่อนี้ได้ยินแล้ว เอ๊ะ ยังไงจะกอบกู้โลก ช่วยเหลืออะไรได้มั๊ย ณ ตอนนี้ ปฎิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจขายอาหารออนไลน์ จะต้องเสียค่า GP หรือค่าธรรมเนียนในการใช้แพลตฟอร์ม ให้กับเจ้าของแอป ในการค้าขายซึ่งในหลายๆแอปพลิเคชั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะทำให้พ่อค้าแม่ค้าจะต้องปวดหัวกะลดบ้างถอยบ้างที่จะหากำไรจากการขาย แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปกับ แอป Robinhood ที่สร้างโดยคนไทยภายใต้ SCB ที่มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยกอบกู้วิกฤตในช่วงโควิด19เหมือนกับชื่อแอปที่ตั้งขึ้นนั้นเอง โดยที่จะไม่มีการหักค่า GP คุณพระ! ฟังไม่ผิดแล้วจ้า ไม่ว่าจะร้านค้า หรือไรเดอร์ จะไม่มีใครถูกหักทั้งสิ้น ไม่พอลูกค้าแอปย่อมได้ของแน่นเต็มถุง เต็มปริมาณในราคาที่ร้านขายในร้านค้านั้นๆ ในราคาเดียวกัน โดยมีความพิเศษคือ จะมีการใช้ค่าส่งแบบ Dynamic Delivery Pricing ซึ่งราคาค่าส่งจะแปรปันไม่เท่ากันคิดตามระยะทางจริง ถ้าสมมติว่าการสั่งไม่อยู่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ราคาส่งจะถูกมากๆ ทำให้ร้านค้าไม่ถูกหักค่า GP และไรเดอร์ส่งอาหารก็จะได้รับเงินไปแบบเต็มจำนวน โดยแอปนี้มีลูกค้าลงทะเบียนในระบบมากว่า 580,000 ราย มีร้านอาหารในระบบในระบบกว่า 55,000 ร้านค้า และไรเดอร์ที่พร้อมให้บริการกว่า 11,500 ราย หัวใจหลักที่เป็นกลยุทธสำคัญคือ แทบ LS หรือ Logistic Subsidy ซึ่งเป็นส่วนลดค่าขนส่ง และค่าอาหารโดยตรงจากทางร้านให้ลูกค้า จากการที่ไม่มีการเก็บค่า GP จึงสามารถเจรจาต่อรองให้ร้านค้าต่างๆ มอบส่วนลดพิเศษให้ลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีระบบตัดเงินก่อนเมื่อมีคำสั่งซื้อ เพื่อไปจ่ายให้กับทั้งไรเดอร์มีเงินไปจ่ายกับทางร้านค้าได้ทันที และยังไม่พอ เงินรายได้ของร้านค้าระบบจะทำการตัดเงินเข้าบัญชีในทุกชั่วโมง เพียงแค่ร้านค้าต้องเปิดบัญชีกับธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้นเองจ้า เพื่อการสร้างงานให้กับร้านอาหาร และโอกาสให้กับไรเดอร์ Robinhood จึงมุ่งมั่นและตั้งใจให้เราฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน สำหรับพื้นที่ให้บริการของโรบินฮู้ดครอบคลุมแล้วทุกพื้นที่ใน กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี รวมถึง ปทุมธานี เฉพาะบางพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสาคร (อำเภอเมืองและกระทุ่มแบน) เฉพาะบางพื้นที่ในจังหวัดนครปฐม (อำเภอนครชัยศรี พุทธมณฑล และบางเลน) โดยจะพิจารณาขยายพื้นที่ในระยะต่อไป
3. Lineman หากพูดแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารเราไม่พูดถึง Lineman ไม่ได้เลย เพราะมีร้านอาหารอยู่บ้านฐานข้อมูลมากกว่า 430,000 ร้าน จากควบรวมกิจการกับ Wongnai กลายเป็น LINE MAN Wongnai
ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้แพลตฟอร์มมีศักยภาพในการดูแลทั้งร้านอาหาร ลูกค้าที่สั้งอาหาร และไรเดอร์ได้อย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันนี้ LINE MAN Wongnai ได้เริ่มให้บริการผ่านโปรส่งฟรีในระยะทาง 3 กิโลเมตร และเตรียมเปิดตัวบริการใหม่ๆ ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอนเร็วๆนี้ และLINE MAN พร้อมเสิร์ฟอาหารจานเด็ดจากแบรนด์ดัง ครอบคลุม 15 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร ปทุมธานี ชลบุรี อยุธยา เชียงใหม่ นครราชสีมา ภูเก็ต สงขลา (หาดใหญ่) ขอนแก่น อุดรธานี และสุราษฎร์ธานี
4. GrabFood เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชั่น ที่เกิดจากบริษัทสตาร์พอัพที่มีขนาดใหญ่สุดบริษัทหนึ่งในสิงคโปร์ เป็นยูนิคอร์นที่มีมูลค่าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเป็นเงินไทยราว 4.4 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกล่าวได้ว่า GrabFood เป็นผู้นำในตลาด Food Delively ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่ง Grab ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านแนวคิด “GROW” ใน 4 ด้าน G – Grabfood Leaddership ต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจรับส่งอาหาร สร้างความเชื่อมั่นเรื่องความรวดเร็ว เมนูอาหารหลากหลาย และประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ทั้งคอนเซ็ปต์เริศๆที่สนุกสนานเข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค และเพิ้มเมนูพิเศษที่มีแค่ Grabfoodที่เดียวเท่านั้นกว่า 300 เมนูจุกๆกันไปเลยจ้า R – Relationship with Key Stakeholders ซึ่งมุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกฝ่าย เพื่อการตอบสนองความต้องการจริง ทั้งพอร์ทเนอร์ร้านอาหาร ไรเดอร์ และลูกค้า ในการรับฟังทุกความคิดเห็น เพื่อการพัฒนาบริการ ไม่ว่าจะเป็นการเน้นอบรม และแชร์ความรู้ ด้านการทำการตลาดออนไลน์สำหรับการทำธุรกิจ ปรับการลงทะเบียนเพื่อการเข้ามาอยู่ให้แพลตฟอร์มให้ง่ายยิ่งขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนการจ่ายเงินให้แก่พาร์ทเนอร์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อการค้าขายไม่สะดุดเพื่อการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มโอกาสขยายการบริการเพื่อตอบโจทย์ในธุรกิจใหม่ O – Opportunities for new business เพื่อเพิ่มโอกาสในพื้นที่ๆมีศักยภาพสูง Grab ได้ตั้งเป้าหมายขยายสาขาของ GrabKitchen ซึ่งจะสร้างโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ รวมไปถึงขยายบริการ GrabMart ให้ครอบคลุมสินค้าให้หลากหลายประเภทมากยิ่งขึ้น เท่านั้นไม่พอ ยังเตรียมขยายบริการอีวอลเล็ต เช่น บริการสินเชื่อแก่พาร์ทเนอร์ร้านอาหารและผู้ใช้งาน รวมไปถึงบริการประกันและการลงทุนอีกตัว และปิดท้ายด้วย การส่งเสริมทักษะดิจิทัลเพื่อสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 W- Digital workforce development in soupport Thailand 4.0 เพื่อสร้างความเข้าใจ เพิ่มการเข้าถึง และการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล Grab จึงมุ่งเน้นสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการถ่ายทอดความรู้ แก่บรรดาพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย และสร้างสรรค์บริการทางการเงิน ที่ตอบโจทย์พาร์ทเนอร์ร้านอาหารและไรเดอร์ พื้นที่บริการครอบคลุม ทั้ง 6 ภาค ดังนี้ ภาคกลาง (กรุงเทพฯ และปริมณฑล, พิษณุโลก, นครสวรรค์, นครปฐม, เพชรบูรณ์, สระบุรี, ลพบุรี) ภาคเหนือ (เชียงใหม่, เชียงราย, อุตรดิตถ์, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, ลำพูน) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( ขอนแก่น, นครราชสีมา, อุดรธานี, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, หนองคาย, สุรินทร์, ชัยภูมิ, กาฬสินธุ์, นครพนม) ภาคตะวันออก (พัทยา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, นครนายก, ฉะเชิงเทรา) ภาคตะวันตก (หัวหิน, ราชบุรี, เพชรบุรี, กาญจนบุรี, ตาก, อำเภอปราณบุรี) ภาคใต้ (หาดใหญ่, ภูเก็ต, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, ชุมพร, ยะลา, ตรัง, เกาะสมุย)
5. FoodPanda ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ในสมรภูมิธุรกิจสั่งอาหารเดลิเวอรี่ ทำให้ FoodPanda หันมาปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ด้วยแนวคิดที่น่าสนใจ 2 แนวทางหลักคือ 1. Hyperlocalization คือการขยายการบริการไปยังต่างจังหวัด แทนการแข่งขันทางการตลาดกับบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ในกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่ง FoodPanda เองเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่ประกาศอย่างชัดเจนว่าคือแพลตฟอร์มที่ให้บริการครบ 77 จังหวัด ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2557 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นความท้าทายและโอกาสนึงที่น่าสนใจเลยทีเดียว ทำให้ปัจจุบัน FoodPanda มีสัดส่วนของออเดอร์อาหารในต่างจังหวัดมากกว่า 50 % เมื่อเทียบกับคำสั่งซื้อทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งทาง FoodPanda เองก็ได้มีการสอนวิธีการใช้งานและการสมัครให้กับกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ ที่นับว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งในการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ 2. เจาะกลุ่มร้านอาหารรายเล็กเป็นหลัก เพื่อช่วยให้มีการขยายธุรกิจ โดยโอกาสคือการสร้างความถี่ให้ลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพราะร้านอาหารเล็กส่วนใหญ่จะเป็นเมนูอาหารที่มีราคาไม่แพง มีความหลากหลายทำให้สามารถสั่งอาหารผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนได้ทุกวันนับว่าจุดเด่นที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ Foodpanda โดยมีพื้นที่บริการคือ กรุงเทพมหานคร, พัทยา, หัวหิน, ภูเก็ต, หาดใหญ่, นครศรีธรรมราช, เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, โคราช, ขอนแก่น, อุดรธานี และในอีกหลาย ๆ จังหวัดทั่วประเทศไทย
สำหรับข้อมูลที่เรารวบรวมมาให้น่าจะง่ายต่อการตัดสินใจว่าจะใช้บริการเจ้าไหน แต่ที่สำคัญ อย่าลืมเช็คพื้นที่ให้บริการ ค่า GP ค่าบริการ เพื่อที่จะได้ตั้งราคาหน้าร้านถูก เพราะแพลตฟอร์มในแต่ละเจ้านั้นถูกออกแบบมาให้มีบริการที่บางอย่างเหมือนกัน และบางอย่างก็อาจจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจุดแข็งในแต่ละเจ้าที่มีแตกต่างกันไป ถ้าเลือกแล้วใช้ตอบโจทย์ในสิ่งที่เราต้องการ ก็อาจสร้างกำไรในภาวะวิกฤตนี้ขึ้นมาก็เป็นได้ ลองไปเลือกใช้กันดูนะคะ
หน้าที่เข้าชม | 4,755,624 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,925,194 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 ธ.ค. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |